1996) – เริ่มได้กลิ่นไม่ค่อยดี ในปีนี้อัตราเงินเฟ้อเราเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยที่ 5. 9% และดอกเบี้ยเงินฝากลดลงมานิดนึงที่ 8. 5-9.
– ทีนี้… นโยบายต่อมาก็คือ การอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์เปิดบริการวิเทศธนกิจในปี พ. 2536 หรือพูดง่ายๆ ก็คือสามารถกู้เงินจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ในประเทศต่อ – เพราะประเทศไทยขณะนั้นดอกเบี้ยในประเทศสูงราว 14-17% ต่อปี – ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศถูกกว่าที่ประมาณ 5% ต่อปี – เห็นช่องว่างใช่ไหมครับ?? การทำกำไรง่ายๆ ก็คือ การกู้เงินจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ต่อ ได้กำไรไปเหนาะๆ เลยเป็น 10% – พอกู้เงินมาเยอะ ก็อยากปล่อยกู้เร็วๆ เพื่อกำไร ทีนี้มาตรฐานการพิจารณาก็ปล่อยกู้กันง่ายๆ ใครมาขอกู้มีเครดิตหน่อยก็เอาเงินไปเลย – เงินเหล่านั้นไปไหน ก็ไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน คอนโด หรือกระทั่งตลาดหุ้น – กลายเป็นยุคที่เงินหาง่าย เพียงกู้จากต่างประเทศมา ให้คนในประเทศกู้กันต่อ – เมื่อเงินหาง่าย สินทรัพย์ต่างๆ ที่ทำออกมาก็ขายง่าย พอขายง่ายก็กำไรดี กำไรดีก็ทำมาขายต่อในราคาที่สูงกว่าเดิม ก็ยังขายได้ ทีนี้ก็ทำออกมาขายใหม่ในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง ก็ยังขายได้อีก เอาเข้าไป!! – ภาวะที่สินค้าราคาแพงกว่าความเป็นจริง นี่แหละครับที่เรียกกันว่า "ฟองสบู่" – ทีนี้จะทำให้เสร็จแล้วขายก็ไม่ทันใจ ก็ขายใบจอง บ้างก็กู้เงินมาเพื่อซื้อใบจอง เอาใบจองไปขายทำกำไรต่อเพราะขายง่ายเป็นทอดๆ ไปอีก – ทางฝั่งคนในตลาดหุ้น เมื่อเห็นหุ้นขึ้นเอา ขึ้นเอา ก็เกิดความโลภ จากเดิมที่เล่นด้วยเงินสด กลายเป็นเล่นด้วยเงินกู้ เพราะซื้อไปมันก็ขึ้นเรื่อยๆ (คำว่าหุ้นตกนั้นเป็นอะไร ไม่รู้จักหรอก เป็นศัพท์ที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว) – สินค้าต่างประเทศได้รับความนิยม เพราะคนรวยนำเข้าของหรูหราตามสมัยนิยมมาใช้กันมากมาย บางส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างไม่เสร็จ เห็นความบิดเบี้ยวกันได้ชัดขึ้นหรือยังครับ??
– ประเทศไทยยุคนั้นคนมีเงินเยอะขึ้น แต่เป็นการรวยไม่จริง รวยจากการกู้ยืมชาวบ้านมาแทบทั้งสิ้น – ขณะเดียวกันประเทศก็ขาดดุลการค้าต่อเนื่องมาตลอด ยอดนำเข้าเยอะกว่ายอดส่งออก ขาดทุนสะสมหลายปีติดต่อกัน – แถมหนี้ที่กู้ยืมสถาบันการเงินต่างประเทศเป็นหนี้ระยะสั้น ที่ใกล้จะครบกำหนดชำระเป็นเงินสกุลดอลลาร์ – จนกระทั่งปี พ.
1997) – ฟองสบู่แตก จุดจบของเสือตัวที่ห้า หลังจากที่พยายามยื้อมาเกือบครึ่งปี จากที่มีโจมตีค่าเงินบาทมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสู้ไม่ไหวในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 โดยรัฐบาลได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงจาก 25 บาท เป็น 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในทันที และทำสถิติอ่อนตัวต่ำสุดที่ระดับ 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นั่นทำให้ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในทันที GDP กระโดดลงมาสู่ต่ำสุดจากร้อยละ 2. 6 ในปี 2540 เป็นร้อยละ -2. 2 ในปี 2541 หุ้นตกชนิดที่เรียกว่ากระเด็นตกดอยจาก 1, 410. 33 จุด ในเดือนมกราคม 2539 เหลือเพียง 207 จุดในเดือนกันยายน 2541 ตีเป็นเลขกลมๆ ว่ามูลค่าสูญหายไปกว่า 3 ล้านล้านบาท "สถาบันการเงินที่มีปัญหาสภาพคล่องกว่า 58 แห่ง ถูกสั่งระงับการดำเนินชั่วคราว จนในที่สุดต้องปิดกิจการไป ทั้งสิ้น 56 แห่งในปี 2540 และอีก 11 แห่งในปี 2541″ วิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้งจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจนกระทบกับสินค้าอุปโภค บริโภคอื่นๆ ภาคการเงินการธนาคารที่ต้องให้รัฐเข้ามาช่วยอุ้ม และหนี้ของรัฐบาลไทยที่มีต่อรัฐบาลต่างชาติ ที่มีสูงถึง 1.
– ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงออกมาอุ้มปัญหาเหล่านั้นในตอนแรก ด้วยการกัดฟันสู้ ขอรับซื้อเงินบาทที่ราคา 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ต่อไป – จากเงินสำรอง 40, 000 ล้านดอลลาร์ ลดลงเหลือ 2, 500 ล้านดอลลาร์อย่างรวดเร็ว เงินแทบหมดคลัง – จะโทษกองทุนต่างชาติได้เต็มปากไหม ก็คงไม่… เพราะพวกเขาทำกำไร จากการเห็นความบิดเบี้ยวที่เราสร้างขึ้นมาเอง จนสุดท้ายสู้ไม่ไหว ต้องยอมปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัว ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ. 2540 คนไทยที่เป็นหนี้ต่างชาติ กลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเกือบจะ 2 เท่าในทันที เงินหายออกไปจากระบบ ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นตก หรือแค่โครงการสร้างไม่เสร็จเท่านั้น แต่เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังธุรกิจต่างๆ เกิดการลดคน เลิกจ้าง จนถึงขั้นเลิกกิจการมากมาย ประเทศไทยจะใช้คำว่า "เจ๊ง" ก็คงไม่ผิดนัก และนั่นทำให้ประเทศไทย ที่หันไปทางไหนก็ไม่มีใครให้เครดิต ต้องกู้เงินจาก IMF เป็นมูลค่ากว่า 510, 000 ล้านบาท เพื่อมาเป็นทุนสำรองในคลัง รวมถึงการกู้เงิน "กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน" หรือ FIDF มูลค่ากว่า 1.
ต้มยำกุ้ง เป็นอาหารไทยที่มีรสชาติจัดจ้านถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ นอกจากจะมีกุ้ัง หรือเนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ เป็นส่วนประกอบแล้ว เครื่องปรุงของเมนู ต้มยำ ยังเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ดังนี้ 1.