8/269) 3 x 48. 65 = 33. 6 hp รูปที่ 6 แสดงการทำงานของปั๊มที่จุดทำงานที่ 2 เมื่อใช้หลักการของ Propeller law จากข้อมูลสามารถสรุปค่าต่าง ๆ ได้ดังตารางที่ 6 ตารางที่ 6 ข้อมูลการทำงานของปั๊มที่จุดทำงานที่ 2 ในรูปที่ 6 33. 6 237. 8 จากวีธีการปรับแต่งอัตราการไหลทั้งหมด สามารถสรุปผลการคำนวณได้ดังตารางที่ 7 ตารางที่ 7 แสดงผลการคำนวณจากทุกวิธี เมื่อนำค่า Shaft Power มาเทียบกันระหว่างค่าเดิมกับค่าการหรี่วาล์ว จะเห็นได้ว่าค่า Shaft Power ลดลงจาก 48. 65 hp เป็น 44. 15 hp ซึ่งลดลง 9. 2% เมื่อนำค่า Shaft Power มาเทียบกันระหว่างค่าเดิมกับค่าจากวิธีที่ 2. 3 ก็จะเห็นว่าค่า Shaft Power มีค่าลดลงจาก 48. 65 hp เป็น 33. 6 hp ลดลงถึง 31% สรุป 1) การนำ Propeller law อย่างเดียว มาใช้ในการนำมาปรับแต่งอัตราการไหล จะทำให้ค่าเกิดความผิดพลาดได้ เราจะต้องใช้ ร่วมกับ System Curve อย่างถูกวิธีจึงจะได้ค่าที่ถูกต้อง 2) การใช้ Propeller law ร่วมกับ System Curve จะทำให้เกิดการประหยัดพลังงานมากกว่าการหรี่วาล์ วมาก หมายเหตุ: ท่านสามารถอ่านบทความอื่นๆ ได้ที่เวบไซต์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยพะเยา และติดตามบทความดีๆได้ที่ Facebook: Energy4You
18 แรงม้า. 7 แบ่งแรงม้าตามประสิทธิภาพของปั๊ม ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าคุณต้องจ่ายแรงม้าเท่าไรเพื่อให้ปั๊มทำงานได้ อย่างไรก็ตามไม่มีอุปกรณ์กลไกใดที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายโอนพลังงานได้ 100% เมื่อคุณเลือกปั๊มได้แล้วให้ตรวจสอบข้อมูลของผู้ผลิตเพื่อดูประสิทธิภาพของปั๊มและเขียนเป็นทศนิยม หารแรงม้าน้ำด้วยค่านี้เพื่อค้นหาแรงม้าจริงของมอเตอร์ที่คุณต้องการสำหรับปั๊มของคุณ [3] ตัวอย่าง: ในการทำงาน 0. 18 แรงม้าต้องใช้ปั๊มที่มีค่าประสิทธิภาพ 50% (หรือ 0. 5) 0.
3 ฟุตทุก ๆ 100 ฟุต ความยาวท่อ นอกจากนี้เขายังมองหาการสูญเสียแรงเสียดทานจากข้อต่อแต่ละชิ้นในท่อ 1" พลาสติกหนึ่ง 90 องศาเชื่อมต่อข้อศอกและสามเกลียวอุปกรณ์มีส่วนร่วมในการสูญเสียรวมของ 15 ฟุต. เพิ่มนี้ทั้งหมดเข้าด้วยกันการสูญเสียความเสียดทานรวมเป็น 4. 7 + 15 = 19. 7 ฟุต.
2 ลงใน Pump curve แล้วกำหนดจุดทำงานเริ่มต้นเป็นจุดที่ 1 ดังแสดงในรูปที่ 6 2) จากสมการ System curve H = 15. 12Q 2 + 40 แทนค่าอัตราการไหลที่จุดทำงานที่ 2 ที่ต้องการเท่ากับ 1. 45 m 3 /min จะได้ค่าเฮดเท่ากับ 71. 75 mH 3) วาดเส้น equal efficiency curve จากจุด 2 โดยใช้สมการ H 1 = (Q 1 2 /Q 2 2)H 2 เมื่อแทนค่า H 2 เท่ากับ 71. 75 และ Q 2 เท่ากับ 1. 45 ลงในสมการก็จะได้สมการ H 1 = 34. 13Q 1 2 วาดเส้น equal efficiency curve โดยเส้นกราฟที่ได้จะเป็นเส้นกราฟแบบพาราโบลาที่ผ่านจุด 2 และจุดด (0, 0). 4) หาจุดตัดเส้น equal efficiency curve กับ Pump curve จะได้จุดตัดที่จุด 1' จากนั้นอ่านค่าอัตราการไหลจะได้เท่ากับ 1. 64 m 3 /min ซึ่งจะเรียกว่า Q 1' 5) หาค่า D 2 หรือ N 2 จากสมการ Propeller Law โดยอ้างอิงจากจุด 1' ดังสมการต่อไปนี้ D 2 /D 1 ' = Q 2 /Q 1 ' หรือ N 2 /N 1 ' = Q 2 /Q 1 ' แทนค่า D 1 ' เท่ากับ 269 mm Q 2 เท่ากับ 1. 45 m 3 /min และ Q 1 ' เท่ากับ 1. 64 m 3 /min จะได้ D 2 = (1. 64)x269 = 237. 8 mm จากผลการคำนวณจะเห็นว่าค่า D 2 ที่ได้มีค่าไม่ต่างจากวิธีที่ 2. 2 มากนัก โดยวิธีที่ 2. 2 จะได้ D 2 เท่ากับ 241 mm 6) คำนวณค่า Shaft Power (Motor output power) ได้จาก สมการที่ (3) P 1 ' /P 2 = (D 1 ' /D 2) 3 P 2 = (237.
โดยปกติจะเขียนว่า 20 gpm สำหรับ "แกลลอนต่อนาที" ค้นหาความถ่วงจำเพาะของของเหลว ความถ่วงจำเพาะคือการวัดความหนาแน่น: ยิ่งของเหลวมีความหนาแน่นมากเท่าใดก็ยิ่งใช้พลังงานในการสูบมากขึ้นเท่านั้น น้ำมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1 หากสูบของเหลวชนิดอื่นให้ค้นหาในตารางวิศวกรรมความถ่วงจำเพาะ ตัวอย่างนี้จะใช้น้ำดังนั้นความถ่วงจำเพาะคือ 1 ประมาณแรงม้าจากค่าเหล่านี้ แรงม้าน้ำของปั๊มมีค่าประมาณเท่ากับ โดยที่ H คือระยะทางแนวตั้งที่น้ำเคลื่อนที่เป็นฟุต Q คืออัตราการไหลเป็นแกลลอนต่อนาทีและ SG คือความถ่วงจำเพาะของของเหลว ในตัวอย่างนี้ปั๊มกำลังทำงานที่ 0. 65 แรงม้า. ในความเป็นจริงคุณมีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานมากกว่านี้ในปั๊มของคุณ ปั๊มของคุณเอาชนะแรงเสียดทานในท่อได้เช่นกันและกำลังสูญเสียพลังงานไปบางส่วนเนื่องจากมอเตอร์ไม่มีประสิทธิภาพ คุณสามารถดับเบิลผลนี้สำหรับการประมาณการคร่าวๆของการใช้พลังงานหรือติดตามจำนวนเงินที่แท้จริงของน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไฟฟ้าใช้มอเตอร์ของคุณหรือ หมายถึงการคำนวณเต็มรูปแบบดังกล่าวข้างต้น บทความนี้ช่วยคุณได้หรือไม่?